Shot Dispersion (การกระจายของจุดตก)
เราสามารถดูได้ว่าจุดตกของแต่ละไม้มีความเกาะกลุ่มกันมากขนาดไหน ยิ่งเกาะกลุ่มได้ดี ยิ่งทำให้เรามั่นใจในระยะไม้ของเรา
เราสามารถดูได้ว่าจุดตกของแต่ละไม้มีความเกาะกลุ่มกันมากขนาดไหน ยิ่งเกาะกลุ่มได้ดี ยิ่งทำให้เรามั่นใจในระยะไม้ของเรา
ระยะเวลาจากการตีถึงจุดตกเป็นวินาที
ยิ่งลูกกอล์ฟลอยสูง เวลาลูกตกบนพื้นจะทำให้ลูกหยุดเร็ว แต่ถ้าลูกยิ่งลอยต่ำลูกจะกลิ้งไปได้ไกล ถ้าเป็นเหล็ก 3,4,5 หรือหัวไม้ ลูกลอยต่ำจะเพิ่มระยะ ถ้าเป็น pitching หรือ wedge ลูกลอยสูงจะทำให้แม่นระยะกว่า
การที่ลูกเลี้ยวหรือเล็งลูกไม่ตรงจะทำให้ระยะนี้เพิ่มขึ้น ยิ่งระยะแนวขวางเยอะ แปลว่าเราตีห่างจากตรงกลางเยอะ
ระยะระหว่างจุดที่ลูกตก และ จุดที่หยุดของลูก ในสถานการณ์จริง ความชันของพื้นที่จุดตกจะทำให้ค่านี้เปลี่ยนได้เยอะ
จุดนี้คือจุดแรกที่ลูกลอยมาตก ไม่ใช่ระยะรวม ความเร็วของลูก การหมุน แกนหมุน และ องศาแนวตั้งจะเป็นตัวกำหนดค่าระยะของลูกที่ลอยมาตก
แกนหมุนของลูกจะเป็นตัวกำหนด การเลี้ยวของลูก สิ่งที่ส่งผลกับแกนหมุนของลูกคือ องศาการเปิดปิดของหน้าไม้ และ องศาการเคลื่อนที่ของไม้
ลูกที่มีสปินเยอะก็จะยิ่งทำให้ลูกตกหยุดมาก ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับ Driver ตัวเลขที่สวยของสปินเรทสำหรับ Driver ก็คือไม่ควรเกิน 2,500 แต่ถ้าเป็นพวกเวจควรจะเกิน 10,000 ขึ้นไป ขอยกตัวอย่าง Spin Rateของเหล็ก 7 PGA Tour จะอยู่ที่ประมาณ 7090 และ LPGA Tour จะอยุ่ที่ประมาณ 6,600 ความฝืดของไม้และลูกจะเป็น
พูดง่ายๆ คือ หากคุณสามารถตีลูกโดนในจุดกึ่งกลาง sweet spot ได้พอดี ค่านี้ยิ่งมากยิ่งดีครับ ค่าเฉลี่ยที่นักกอล์ฟ pga tour และ lpga tour ทำได้ คือ 1.48. การคำนวนคือ smash factor = ball speed / club speed
องศาที่ลูกตกจากการเคลื่อนที่ องศายิ่งต่ำเท่าไหร่ยิ่งทำให้ระยะการวิ่งของลูกบนพื้นเพิ่มขึ้นเท่านั้น และองศายิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งทำให้ลูกตกแล้วหยุดเร็วขึ้นเท่านั้น
มุมที่ลูกกอล์ฟเดินทางสัมพันธ์กับเส้นเป้าของเรดาร์ มุมยิงจะส่งผลต่อความสูงของการพุ่ง และส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยองศาแบบไดนามิกและมุมของการเข้าลูก
ความเร็วของลูกมีผลกับระยะการตีมากที่สุด การตีกลางลูก และ การเพิ่มความเร็วของไม้จะทำให้ความเร็วลูกเพิ่มขึ้น
จุดต่ำสุดของไม้เทียบกับพื้น
Vertical Swing Plane คือมุมของก้านที่ทำกับพื้น ถ้าเราขยับไปข้างหลัง มือเราจะยื่นออกไปทำให้มุมนี้มีค่าน้อยลง
องศาของไม้ที่ทำมุมกับtarget line ที่จุดต่ำสุดของไม้
ลูกหมุนอันเป็นผลมาจากองศาของไม้ (loft) ที่มีประสิทธิภาพบนหน้าไม้ที่ส่งไปยังลูกระหว่างการกระทบซึ่งก็คือ
โดยประมาณกำหนดโดยความแตกต่างระหว่างมุม 30 ของการเข้าลูกและ 30 ไดนามิกลอฟต์ของไม้กอล์ฟที่กระทบ
Club Path คือ ทิศทางของหัวไม้ในขณะเคลื่อนผ่าน ณ จุดอิมแพ็ค(จุดที่หน้าไม้ปะทะกับลูกกอล์ฟ)
นักกอล์ฟจะสัมพันธ์กับ Club Path โดยการตีแบบ “in-to-out” หรือ “out-to-in” การตีแบบ “in-to-out” คือ หัวไม้เคลื่อนผ่านลูกไปทางขวาของเป้าหมาย ณ จุดอิมแพ็ค(สำหรับนักกอล์ฟมือขวา) กลับกัน “out-to-in” คือ หัวไม้เคลื่อนผ่านลูกไปทางซ้ายของเป้าหมาย ณ จุดอิมแพ็ค(สำหรับนักกอล์ฟมือขวา)
เพิ่มเติม Mevo จะให้ค่า Club Path เป็นบวก เมื่อสวิงของเราเป็นแบบ “in-to-out” และ จะให้ค่า Club Path เป็นลบ เมื่อสวิงของเราเป็นแบ
มุมที่ไม้ปะทะกับลูก มุมกด (hit down) หรือมุมเสย (hit up) จะดูได้จากค่านี้
ในแต่ละไม้จะมี loft ของตัวเอง แต่เมื่อเราตีลูก องศานี้จะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับเราตีลงหรือตีขึ้น การ lean ไม้, loft ของไม้, และ องศาการเข้าลูกส่งผลต่อองศานี้ทั้งหมด
ทิศทางของหน้าไม้เทียบกับเส้นเป้าหมายของเรดาร์ วัดที่การกระแทก มุมหน้าไม้จะส่งผลต่อทิศทางที่ลูกบอลเริ่มสัมพันธ์กับเส้นเป้าหมายของเรดาร์
องศาของหน้าไม้กับทิศทางที่ไม้เคลื่อนที่ ค่านี้จะเป็นตัวกำหนดองศาการสปินของลูก
ความเร่งของจุดศูนย์กลางของหัวไม้ห่างจากเรดาร์ วัดก่อนและหลังกระทบลูก โปรไฟล์การเร่งความเร็วจะระบุอัตราการปิดหน้าไม้เนื่องจากการงอของก้านและการreleaseไม้กอล์ฟโดยนักกอล์ฟ
สิ่งที่ตามองไม่เห็น เครื่องgolf simulator สามารถวัดค่าได้ เช่นค่าความเร็วไม้เป็นหลักเสี้ยววินาที
ความเร็วของจุดศูนย์กลางของหัวไม้ห่างจากเรดาร์ วัดก่อนและหลังกระทบลูก จากโปรไฟล์ความเร็ว ผู้เล่นสามารถกำหนดความสม่ำเสมอของความเร็ววงสวิงและการถ่ายโอนพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้ากราฟนี้นิ่งหรือความโค้งไม่มีรอยหยัก แปลว่าวงของเราค่อนข้างนิ่ง และลื่น
ความเร็วของไม้เมื่อไม้กระทบกับลูกกอล์ฟ